กฏหมายที่เกี่ยวข้อง

ชื่อโรคติดต่อต้องแจ้งความ

ประกาศกระทรวงสาธารณสุข

เรื่อง ชื่อโรคติดต่อต้องแจ้งความ

 

อาศัยอำนาจตามความใน มาตรา 5 และมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและ เสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบมาตรา 31 มาตรา 35 มาตรา 36 มาตรา 48 และมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบท บัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจึงให้ปรับปรุงแก้ไขและให้ประกาศกำหนดขึ้น ใหม่ซึ่งชื่อโรคติดต่อต้องแจ้งความ ดังนี้

  

 

1. 

อหิวาตกโรค (Cholera)

2. 

กาฬโรค (Plague)

3. 

ไข้ทรพิษ (Variola หรือ Smallpox)

4. 

ไข้เหลือง (Yellow fever)

5. 

ไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal Meningitis)

6. 

คอตีบ (Diphtheria)

7. 

โรคบาดทะยักในทารกแรกเกิด (Tetanus neonatorum)

8. 

โปลิโอ (Poliomyelitis)

9. 

ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) ซึ่งรวมถึงไข้หวัดใหญ่ที่ติดต่อมาจากสัตว์

10. 

ไข้สมองอักเสบ (Encephalitis)

11. 

โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)

12. 

ไข้รากสาดใหญ่ (Typhus)

13. 

วัณโรค (Tuberculosis)

14. 

แอนแทร็กซ์ (Anthrax)

15. 

โรคทริคิโนซิส (Trichinosis)

16. 

โรคคุดทะราด (Yaws) เฉพาะในระยะติดต่อ

17. 

โรคอัมพาตกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกอย่างเฉียบพลันในเด็ก (Acute flaccid paralysis)

18. 

โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (หรือโรคซาร์ส – Severs Acute Respiratory Syndrome)

 

 

 >>

ให้ยกเลิก การประกาศกำหนดชื่อโรคติดต่อต้องแจ้งความ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2524 วันที่ 20 มกราคม 2541 วันที่ 30 มีนาคม 2546 และวันที่ 26 มกราคม 2547

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป [1]

ประกาศ ณ วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2547

สุดารัตน์  เกยุราพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

-----------------------------------------------------------------------

[1] รก.2547 / พ 126ง / 22 / 9 พฤศจิกายน 2547

พระราชบัญญัติ โรคติดต่อ พ.ศ. 2523

ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2523
เป็นปีที่ 35 ในรัชกาลปัจจุบัน

 

มาตราที่   1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

มาตราที่ 12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

   

มาตรา 1

พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523"

 

 

  

     

 

มาตรา 2

พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
[รก.2523/52/1 พ./3 เมษายน 2523]

 

 

  

   

 

มาตรา 3

ให้ยกเลิก

 

(1)

พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พุทธศักราช 2477

 

(2)

พระราชบัญญัติโรคติดต่อ (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2479

 

 (3)

พระราชบัญญัติโรคติดต่อ (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2482

 

(4)

พระราชบัญญัติไข้จับสั่น พุทธศักราช 2485

 

 (5)

พระราชบัญญัติโรคเรื้อน พุทธศักราช 2486

 

บรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน

 

 

  

   

มาตรา 4

ในพระราชบัญญัตินี้

 

(1)

"โรคติดต่อ" หมายความว่า โรคซึ่งรัฐมนตรีประกาศตาม มาตรา 5 ให้เป็นโรคติดต่อ และให้หมายความรวมถึงโรคซึ่งรัฐมนตรีหรือ ผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศตาม มาตรา 6 วรรคสอง ให้เป็นโรคติดต่อด้วย  

 

(2)

"โรคติดต่ออันตราย" หมายความว่า โรคติดต่อซึ่งรัฐมนตรี ประกาศตาม มาตรา 5 ให้เป็นโรคติดต่ออันตราย

 

(3)

"โรคติดต่อต้องแจ้งความ" หมายความว่า โรคติดต่อซึ่งรัฐมนตรี ประกาศตาม มาตรา 5 ให้เป็นโรคติดต่อต้องแจ้งความ และให้หมายความรวมถึงโรคติดต่อตาม มาตรา 5 ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศตาม มาตรา 6 วรรคหนึ่ง หรือโรคซึ่งรัฐมนตรีหรือผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศตาม มาตรา 6 วรรคสอง ให้เป็นโรคติดต่อต้องแจ้งความด้วย

 

(4)

"พาหะ" หมายความว่า คนหรือสัตว์ซึ่งไม่มีอาการของโรคติดต่อ ปรากฏ แต่ร่างกายมีเชื้อโรคนั้นซึ่งอาจติดต่อถึงผู้อื่นได้

 

(5)

"ผู้สัมผัสโรค" หมายความว่า คนซึ่งได้เข้าใกล้ชิดคน สัตว์ หรือ สิ่งของติดโรค จนเชื้อโรคนั้นอาจติดต่อถึงผู้นั้นได้

 

(6)

"ระยะฟักตัวของโรค" หมายความว่า ระยะเวลาตั้งแต่เชื้อโรค เข้าสู่ร่างกาย จนถึงเวลาที่ผู้ติดโรคแสดงอาการป่วยของโรคนั้น

 

(7)

"ระยะติดต่อของโรค" หมายความว่า ระยะเวลาที่เชื้อโรค สามารถจะแพร่จากคนหรือสัตว์ที่มีเชื้อโรคไปยังผู้อื่นได้ โดยทางตรงหรือ ทางอ้อม

 

(8)

"แยกกัก" หมายความว่า การแยกผู้สัมผัสโรคหรือพาหะ ออกไว้ต่างหากจากผู้อื่นในที่เอกเทศ และตามภาวะอันจะป้องกันมิให้เชื้อโรคแพร่หลาย โดยทางตรงหรือทางอ้อมไปยังผู้ซึ่งอาจได้รับเชื้อโรคนั้น ๆ ได้ จนกว่าจะพ้นระยะติดต่อของโรค

 

(9)

"กักกัน" หมายความว่า การควบคุมผู้สัมผัสโรคหรือพาหะ ให้อยู่ในที่เอกเทศจนกว่าจะพ้นระยะฟักตัวของโรคนั้น ๆ หรือจนกว่าจะพ้นความ เป็นพาหะ

  (10) "คุม ไว้สังเกต" หมายความว่า การควบคุมดูแลผู้สัมผัสโรค หรือพาหะ โดยไม่กักกัน และอาจจะอนุญาตให้ผ่านไปในที่ใด ๆ ก็ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าเมื่อไปถึงท้องที่ใดที่กำหนดไว้ ผู้นั้นต้องแสดงตัวต่อเจ้าพนักงานสาธารณสุขประจำท้องที่นั้น เพื่อรับการตรวจในทางแพทย์
  (11) "เขต ติดโรค" หมายความว่า ท้องที่หนึ่งท้องที่ใด ในหรือนอกราชอาณาจักรที่มีโรคติดต่อเกิดขึ้น ตามที่รัฐมนตรีหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ประกาศในท้องที่นั้น ๆ เป็นเขตติดโรค
  (12) "พาหนะ" หมายความว่า ยาน สัตว์ หรือวัตถุ ซึ่งใช้ในการขนส่งคน สัตว์ หรือสิ่งของ ทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ
  (13) "เจ้าของพาหนะ" หมายความรวมถึง ตัวแทน เจ้าของ ผู้เช่า ตัวแทนผู้เช่าหรือผู้ครอบครอง
  (14) "ผู้ควบคุมพาหนะ" หมายความว่า ผู้รับผิดชอบในการควบคุมพาหนะ
  (15) "ผู้เดินทาง" หมายความว่า คนซึ่งเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร รวมทั้งผู้ควบคุมพาหนะและคนประจำพาหนะ
  (16) "การ สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค" หมายความว่า การกระทำทางการแพทย์โดยวิธีใด ๆ ก็ตาม ต่อคนหรือสัตว์เพื่อให้คนหรือสัตว์นั้น เกิดอำนาจต้านทานโรค
  (17) "ที่ เอกเทศ" หมายความว่า ที่ใด ๆ ซึ่งเจ้าพนักงานสาธารณสุข กำหนดให้เป็นที่สำหรับแยกกัก หรือกักกันคนหรือสัตว์ที่ป่วย หรือมีเหตุสงสัยป่วยด้วยโรคติดต่อใด ๆ เพื่อป้องกันและควบคุมมิให้โรคนั้นแพร่หลาย
  (18) "เจ้า พนักงานสาธารณสุข" หมายความว่า เจ้าพนักงานซึ่งได้รับ แต่งตั้งให้มีหน้าที่ตรวจตรา ดูแล และรับผิดชอบในการสาธารณสุขโดยทั่วไป หรือเฉพาะในท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง
  (19) "พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

 

 (20)

"รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

 

 

  

   

มาตรา 5

โรคใดจะเป็นโรคติดต่อ โรคติดต่ออันตราย หรือโรคติดต่อต้องแจ้งความ ให้รัฐมนตรีประกาศชื่อและอาการสำคัญของโรคไว้ในราชกิจจานุเบกษา

 

 

  

   

มาตรา 6

ในกรณีจำเป็นและสมควรให้ ผู้ว่าราชการจังหวัด มีอำนาจประกาศกำหนดให้โรคติดต่อซึ่งรัฐมนตรีประกาศตาม มาตรา 5 เป็นโรคติดต่อต้องแจ้งความเฉพาะในเขตของตน
ในกรณีที่ตรวจพบหรือ มีเหตุสงสัยว่าโรคใดโรคหนึ่งอันมิใช่โรคติดต่อ ที่ได้มีประกาศตาม มาตรา 5 เป็นโรคซึ่งอาจติดต่อแพร่หลายเป็นอันตรายแก่ประชาชนได้ ให้รัฐมนตรีหรือผู้ว่าราชการจังหวัดเฉพาะในเขตของตน มีอำนาจประกาศระบุชื่อและอาการสำคัญของโรคนั้นให้เป็นโรคติดต่อหรือโรค ติดต่อต้องแจ้งความ

 

 

  

   

มาตรา 7

ในกรณีที่มีโรคติดต่อ อันตราย หรือโรคติดต่อต้องแจ้งความเกิดขึ้น หรือมีเหตุสงสัยว่าได้มีโรคติดต่อดังกล่าวเกิดขึ้น ให้บุคคลดังต่อไปนี้ แจ้งต่อเจ้าพนักงานสาธารณสุขหรือพนักงานเจ้าหน้าที่

 

(1)

ในกรณีมีการป่วยหรือมี เหตุสงสัยว่าได้มีการป่วยโดยโรคติดต่อดังกล่าวเกิดขึ้นในบ้าน ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าบ้าน หรือของผู้ควบคุมดูแลบ้าน หรือของแพทย์ผู้ทำการรักษาพยาบาล

 

(2)

ในกรณีมีการป่วยหรือมี เหตุสงสัยว่าได้มีการป่วยด้วยโรคติดต่อดังกล่าวเกิดขึ้นในสถานพยาบาล ให้เป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบในสถานพยาบาลนั้น

 

(3)

ในกรณีที่ได้มีการชันสูตร ทางแพทย์ตรวจพบว่าอาจมีเชื้อ อันเป็นเหตุของโรคติดต่อดังกล่าว ให้เป็นหน้าที่ของผู้ทำการชันสูตรทางแพทย์ หรือ ของผู้รับผิดชอบในสถานที่ที่ได้มีการชันสูตรทางแพทย์นั้น

 

(4)

หลักเกณฑ์ และวิธีการแจ้งตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

 

 

  

   

มาตรา 8

เมื่อปรากฏแก่เจ้าพนักงาน สาธารณสุขว่าได้เกิด หรือ มีเหตุสงสัยว่า ได้เกิดโรคติดต่ออันตรายอย่างใดเกิดขึ้นในบ้าน โรงเรือน สถานที่ หรือพาหนะใด ให้เจ้าพนักงานสาธารณสุขมีอำนาจที่จะดำเนินการเอง ประกาศหรือออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ใดดำเนินการดังต่อไปนี้ได้

 

(1)

ให้คนหรือสัตว์ซึ่งป่วย หรือมีเหตุสงสัยว่าป่วย เป็นโรคติดต่ออันตราย เป็นผู้สัมผัสโรค หรือเป็นพาหะของโรคติดต่ออันตราย มารับการตรวจ การชันสูตร ทางแพทย์ หรือการรักษา หรือคุมไว้สังเกต ณ สถานที่ซึ่งเจ้าพนักงานสาธารณสุขกำหนด
ใน กรณีที่เจ้าพนักงานสาธารณสุขเห็นว่า คนซึ่งป่วยหรือมีเหตุสงสัยว่า ป่วยเป็นโรคอยู่ในภาวะซึ่งอาจเป็นเหตุให้เชื้อโรคแพร่หลายจนเป็นอันตรายร้าย แรงแก่ประชาชนได้ ให้มีอำนาจแยกกักผู้นั้นไปรับการรักษาในสถานพยาบาล หรือในที่เอกเทศ จนกว่าจะได้รับการตรวจและการชันสูตรทางแพทย์ว่าพ้นระยะติดต่อของโรคหรือหมด เหตุสงสัย

 

(2)

กักกันหรือคุมไว้สังเกตซึ่งคนหรือสัตว์ซึ่งเป็นหรือมีเหตุสงสัยว่า เป็นผู้สัมผัสโรคหรือพาหะ

 

(3)

ให้คนหรือสัตว์รับการป้องกัน ตามวัน เวลา และสถานที่ซึ่ง เจ้าพนักงานสาธารณสุขกำหนด

 

(4)

ดำเนินการหรือให้เจ้าของ หรือผู้อยู่ในบ้าน โรงเรือน สถานที่ หรือพาหนะใดที่โรคติดต่ออันตรายได้เกิดขึ้น จัดการกำจัดความติดโรคหรือ ทำลายสิ่งใด ๆ หรือสัตว์ที่มีเหตุเชื่อได้ว่าเป็นสิ่งติดโรค จนกว่าเจ้าพนักงาน สาธารณสุขจะเห็นว่าปราศจากความติดโรค และได้ถอนคำสั่งนั้นแล้ว

 

(5)

ดำเนินการหรือให้เจ้าของ หรือผู้อยู่ในบ้าน โรงเรือน สถานที่ หรือพาหนะใดที่โรคติดต่ออันตรายได้เกิดขึ้น จัดการแก้ไข ปรับปรุงการ สุขาภิบาล หรือรื้อถอนสิ่งที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรือจัดให้มีขึ้นใหม่ให้ถูก สุขลักษณะ

 

(6)

ให้นำศพหรือซากสัตว์ซึ่ง ปรากฏหรือมีเหตุสงสัยว่าตายด้วย โรคติดต่ออันตรายไปรับการตรวจ หรือจัดการทางแพทย์ หรือจัดการแก่ศพ หรือซากสัตว์นั้นด้วยประการอื่นใด เพื่อป้องกันการแพร่หลายของโรค

 

(7)

ดำเนินการหรือกำหนดให้ปฏิบัติการเพื่อป้องกัน กำจัด สัตว์ หรือแมลง หรือตัวอ่อนของแมลงที่เป็นเหตุให้เกิดโรค

 

(8)

ดำเนินการหรือกำหนดให้ ปฏิบัติในการ ทำ ประกอบ ปรุง จับต้อง บรรจุ เก็บ สะสม จำหน่ายอาหาร น้ำแข็ง เครื่องดื่มหรือน้ำเพื่อ ป้องกันการแพร่หลายของโรค

 

(9)

จัดหาและให้เครื่องอุปโภคบริโภค รวมทั้งเวชภัณฑ์หรือเคมีภัณฑ์ เพื่อป้องกันการแพร่หลายของโรค

 

(10)

จัดหาน้ำที่ถูกสุขลักษณะไว้ในบ้าน โรงเรือน สถานที่ หรือ พาหนะ

 

(11)

ห้ามกระทำการใด ๆ อันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดภาวะไม่ถูก สุขลักษณะแก่ถนนหนทาง บ้าน โรงเรือน สถานที่ พาหนะ หรือที่สาธารณะอื่นใด

 

(12)

ห้ามกระทำการใด ๆ อันอาจจะเป็นเหตุให้โรคแพร่หลาย

 

 

  

   

มาตรา 9

ในกรณีที่เจ้าพนักงาน สาธารณสุขได้ออกคำสั่งประกาศตามมาตรา 8 ให้ปิดประกาศนั้นไว้ในที่เปิดเผยเห็นได้ง่าย ณ สถานที่แยกกัก สถานที่กักกัน บ้าน โรงเรือน สถานที่หรือพาหนะที่ผู้ป่วยอาศัยหรือพักอยู่ และหรือบริเวณที่ใกล้เคียง ตลอดเวลาที่คำสั่งตามประกาศนั้นยังคงใช้บังคับอยู่ ห้ามผู้ใดนอกจากเจ้าพนักงานสาธารณสุขเข้าไปในหรือออกจากสถานที่แยกกัก สถานที่กักกัน บ้าน โรงเรือน สถานที่หรือพาหนะ ที่ผู้ป่วยอาศัยหรือ พักอยู่หรือย้ายสิ่งของใด ๆ ออกจากที่นั้น เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานสาธารณสุข

 

 

  

   

มาตรา 10

เมื่อมีโรคติดต่ออันตราย เกิดขึ้นหรือน่าจะเกิดขึ้นในท้องที่ใด รัฐมนตรีหรือผู้ว่าราชการจังหวัดเฉพาะในเขตของตน มีอำนาจประกาศโดยระบุชื่อและอาการสำคัญของโรค ตำบล หมู่บ้านหรือสถานที่ใด เป็นเขตติดโรค และจะกำหนดปริมณฑลโดยรอบไว้เป็นเขตติดโรคด้วยก็ได้
เมื่อ ได้มีประกาศดังกล่าวแล้ว ให้เจ้าพนักงานสาธารณสุขมีอำนาจดำเนินการเอง ประกาศหรือออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ใดดำเนินการใด ๆ ในเขตหรือในบริเวณปริมณฑลนั้น ดังต่อไปนี้

 

(1)

ปฏิบัติการใด ๆ ตามที่กำหนดไว้ใน มาตรา 8

 

(2)

ห้ามผู้ใดเข้าไปในหรือออกจากเขตติดโรคหรือที่เอกเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานสาธารณสุข

 

(3)

เข้าไปในบ้าน โรงเรือน สถานที่ หรือพาหนะใด ที่เกิดหรือ มีเหตุสงสัยว่าเกิดโรคได้ โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า แต่ต้องกระทำใน ภาวะอันสมควร

 

(4)

รื้อถอน ทำลาย หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามความจำเป็น ซึ่งบ้าน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง สถานที่ พาหนะ หรือสิ่งของใด ๆ เพื่อป้องกันการแพร่หลายของโรค

 

(5)

ปิดตลาด โรงมหรสพ สถานศึกษา สถานที่ประกอบหรือจำหน่ายอาหาร สถานที่ผลิตหรือจำหน่ายเครื่องดื่ม โรงงาน สถานที่ชุมนุมชน หรือ สถานที่อื่นใดไว้ชั่วคราวตามที่เห็นสมควรเพื่อป้องกันการแพร่หลายของโรค

 

(6)

ห้ามคนซึ่งป่วยหรือมีเหตุ สงสัยว่าป่วยเป็นโรคติดต่ออันตราย ประกอบอาชีพใด ๆ หรือเข้าไปในสถานศึกษา สถานที่ชุมนุมชนหรือสถานที่อื่นใด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานสาธารณสุข

 

 

  

   

มาตรา 11

เมื่อโรคติดต่อต้องแจ้ง ความเกิดขึ้นในบ้าน โรงเรือน สถานที่ พาหนะหรือท้องที่ใด ถ้าเจ้าพนักงานสาธารณสุขเห็นว่าโรคติดต่อดังกล่าวจะระบาดต่อไป ให้มีอำนาจปฏิบัติการใด ๆ ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 8 และมาตรา 10 ได้โดยอนุโลม  

 

 

มาตรา 12

เพื่อป้องกันมิให้ โรคติดต่อใดเกิดหรือแพร่หลาย ให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้บุคคลต้องได้รับการสร้างเสริม ภูมิคุ้มกันโรค
เมื่อได้มีประกาศตามวรรคหนึ่งแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจประกาศกำหนดให้บุคคลใดได้รับการสร้างเสริมภูมิ คุ้มกันโรค ณ เวลาและ สถานที่ซึ่งจะได้กำหนดไว้ในประกาศนั้น 

  

   

มาตรา 13

ในการป้องกันและควบคุมโรค ติดต่อระหว่างประเทศ ให้ช่องทางและด่านตรวจคนเข้าเมืองตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเป็น ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ เมื่อมีเหตุอันสมควรให้เจ้าพนักงาน สาธารณสุขประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศมีอำนาจ ดังต่อไปนี้

 

(1)

ให้เจ้าของพาหนะหรือผู้ ควบคุมพาหนะแจ้งกำหนดวัน เวลา และสถานที่ที่พาหนะนั้น ๆ จะเข้ามาถึงท่าอากาศยาน ท่าเรือ หรือท่าขนส่ง ทางบก ต่อเจ้าพนักงานสาธารณสุขประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

 

(2)

ให้เจ้าของพาหนะหรือผู้ ควบคุมพาหนะที่เข้ามาในราชอาณาจักร ยื่นเอกสารต่อเจ้าพนักงานสาธารณสุขประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่าง ประเทศ ตามแบบและวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

 

(3)

ห้ามผู้ใดนำพาหนะอื่นใด เข้าเทียบพาหนะที่เดินทางเข้ามาใน ราชอาณาจักร ซึ่งยังไม่ได้รับการตรวจจากเจ้าพนักงานสาธารณสุข และห้าม ผู้ใดเข้าไปในหรือออกจากพาหนะนั้น เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน สาธารณสุขประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ

 

(4)

เข้าไปในพาหนะและตรวจผู้ เดินทาง สิ่งของหรือสัตว์ที่มากับ พาหนะ ตรวจตราและควบคุมให้เจ้าของพาหนะหรือผู้ควบคุมพาหนะแก้ไขการ สุขาภิบาลของพาหนะให้ถูกสุขลักษณะ รวมทั้งกำจัดสิ่งอันอาจเป็นอันตราย ต่อสุขภาพในพาหนะ ในการนี้ให้เจ้าของพาหนะหรือผู้ควบคุมพาหนะอำนวย ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานสาธารณสุขประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ

 

(5)

ห้ามเจ้าของพาหนะหรือผู้ควบคุมพาหนะนำผู้เดินทางซึ่งไม่ได้รับ การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคตามที่รัฐมนตรีประกาศเข้ามาในราชอาณาจักร

 

(6)

ตรวจตรา ควบคุม ให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบท่าอากาศยาน ท่าเรือ หรือท่าขนส่งทางบก แก้ไขการสุขาภิบาลให้ถูกสุขลักษณะ รวมทั้งกำจัดสิ่งอัน อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพในสถานที่และบริเวณดังกล่าว

 

(7)

ตรวจตรา ควบคุม ให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบท่าอากาศยาน ท่าเรือ หรือท่าขนส่งทางบก ทำการควบคุม กำจัดยุง และพาหะนำโรค ในสถานที่ และบริเวณรอบท่าอากาศยาน ท่าเรือ หรือท่าขนส่งทางบก ในรัศมีสี่ร้อยเมตร ในการนี้ให้เจ้าของหรือผู้อยู่ในบ้าน โรงเรือน หรือสถานที่ในบริเวณดังกล่าว อำนวยความสะดวกในการควบคุมกำจัดยุงและพาหะนำโรค

 

(8)

ตรวจตรา ควบคุมการสุขาภิบาลเกี่ยวกับอาหาร น้ำแข็ง เครื่องดื่มหรือน้ำ ให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบสถานที่ ทำ ประกอบ ปรุง จับต้อง บรรจุ เก็บ สะสม จำหน่ายอาหาร น้ำแข็ง เครื่องดื่ม หรือน้ำที่นำเข้าไป หรือจะนำเข้าไปในบริเวณท่าอากาศยาน ท่าเรือ หรือท่าขนส่งทางบก ให้ถูกสุขลักษณะ หรือแก้ไขการสุขาภิบาลเกี่ยวกับอาหาร น้ำแข็ง เครื่องดื่มหรือน้ำ ตลอดถึงสถานที่ดังกล่าวให้ถูกสุขลักษณะ

 

 

  

   

มาตรา 14

เมื่อมีโรคติดต่ออันตราย เกิดขึ้นในท้องที่หรือเมืองท่าใด ในต่างประเทศ ให้รัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งรัฐมนตรีมอบหมายมีอำนาจประกาศให้ ท้องที่หรือเมืองท่านั้นเป็นเขตติดโรค เมื่อได้ประกาศแล้วให้เจ้าพนักงาน สาธารณสุขประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศมีอำนาจดำเนินการเอง หรือออกคำสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าของพาหนะหรือผู้ควบคุมพาหนะที่เข้ามาใน ราชอาณาจักรจากท้องที่หรือเมืองท่านั้น ดำเนินการดังต่อไปนี้

 

(1)

ดำเนินการหรือกำหนดให้ปฏิบัติการใด ๆ เพื่อกำจัดความติดโรค และเพื่อป้องกันการแพร่หลายของโรค

 

(2)

จัดให้พาหนะจอดอยู่ ณ สถานที่ที่กำหนดให้จนกว่าเจ้าพนักงาน สาธารณสุขจะอนุญาตให้ไปได้

 

(3)

ให้ผู้เดินทางซึ่งมากับ พาหนะนั้นรับการตรวจในทางแพทย์ และ อาจให้แยกกัก กักกัน คุมไว้สังเกต หรือรับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ณ สถานที่ที่กำหนดให้

 

(4)

ห้ามผู้ใดเข้าไปในหรือออกจากพาหนะนั้น หรือที่เอกเทศ เว้นแต่ ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานสาธารณสุข

 

(5)

ห้ามผู้ใดนำเครื่องอุปโภค บริโภค น้ำดื่ม หรือน้ำใช้ซึ่งเป็นหรือ มีเหตุสงสัยว่าเป็นสิ่งติดโรคเข้าไปในหรือออกจากพาหนะนั้น เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานสาธารณสุข

 

 

กลับสู่ด้านบน>>

   

มาตรา 15

ให้เจ้าของพาหนะหรือผู้ ควบคุมพาหนะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ในการขนส่งผู้เดินทางซึ่งมากับพาหนะนั้น เพื่อแยกกัก กักกัน คุมไว้สังเกต หรือรับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ตลอดทั้งค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู การรักษาพยาบาล การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ 

  

   

มาตรา 16

ใน กรณีที่เจ้าพนักงานสาธารณสุขได้ออกคำสั่งให้ผู้ใด ดำเนินการตาม มาตรา 8 (4) (5) (6) หรือ (7) มาตรา 10 (4) มาตรา 13 (4) (6) (7) หรือ (8) หรือ มาตรา 14 (1) (2) หรือ (3) แล้ว ผู้นั้นละเลยไม่ดำเนินการตามคำสั่งภายในเวลาที่กำหนด เจ้าพนักงานสาธารณสุขมีอำนาจดำเนินการแทนได้ โดยให้ผู้นั้นชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการนั้นตามจำนวนที่จ่ายจริง ทั้งนี้ตามระเบียบที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด 

  

   

มาตรา 17

ผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม มาตรา 7 หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานสาธารณสุขตาม มาตรา 8 (1) (2) (3) (7) (8) (9) (10) (11) หรือ (12) มาตรา 13 มาตรา 14 (5) หรือไม่ให้ความสะดวกแก่เจ้าพนักงานสาธารณสุขตาม มาตรา 13 (4) หรือ (7) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท  

  

   

มาตรา 18

ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ ปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งของ เจ้าพนักงานสาธารณสุข ตาม มาตรา 8 (4) (5) หรือ (6) มาตรา 9 มาตรา 10 หรือ มาตรา 14 (3) หรือ (4) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน หกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

กลับสู่ด้านบน>>

   

มาตรา 19

ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดตาม มาตรา 12 วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท 

  

   

มาตรา 20

เจ้าของพาหนะหรือผู้ควบ คุมพาหนะผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม คำสั่งของเจ้าพนักงานสาธารณสุขตาม มาตรา 14 (2) ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

  

   

มาตรา 21

ให้บรรดากฎกระทรวง ประกาศ และคำสั่งที่ออก ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พุทธศักราช 2477 พระราชบัญญัติโรคติดต่อ (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2482 พระราชบัญญัติไข้จับสั่น พุทธศักราช 2485 และพระราชบัญญัติโรคเรื้อน พุทธศักราช 2486 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษายังคงใช้ บังคับต่อไปได้เท่าที่ ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีกฎกระทรวง ประกาศ และคำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ 

  

   

มาตรา 22

ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุขรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ กับให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ออกกฎกระทรวง และกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

  

   

 

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ป. ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี

   

 

หมายเหตุ
เหตุผล ในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พุทธศักราช 2477 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโรคติดต่อ (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2482 พระราชบัญญัติไข้จับสั่น พุทธศักราช 2485 และพระราชบัญญัติโรคเรื้อน พุทธศักราช 2486 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนี้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการควบคุมและป้องกันโรค ติดต่อยังไม่รัดกุมและเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน สมควรที่จะได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดังกล่าวเสียใหม่โดยรวมเป็นพระราช บัญญัติฉบับเดียวกัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น

  

 

หลักสูตรการฝึกอบรมสำหรับผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยปฏิบัติการควบคุมโรคติตด่อ พ.ศ. 2560 (29 พ.ค. 2566 - 12:21)

ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ พ.ศ. 2559 (27 พ.ค. 2566 - 08:04)

ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง พ.ศ. 2559 (29 พ.ค. 2566 - 08:42)

ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการสําคัญของโรคติดต่ออันตราย พ.ศ. 2559 (29 พ.ค. 2566 - 07:29)

ประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ. 2559 (21 พ.ค. 2566 - 14:33)

ประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการแต่งตั้ง วาระการดํารงตําแหน่ง และการพ้นจากตําแหน่งของ กรรมการโรคติดต่อจังหวัดและกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2559 (20 พ.ค. 2566 - 09:36)

ระเบียบกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการได้มาซึ่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒฺิในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ พ.ศ. 2559 (28 พ.ค. 2566 - 09:14)

แต่งตั้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 (15 พ.ค. 2566 - 22:37)

12 โรค อันตราย (26 พ.ค. 2566 - 17:41)

ชื่อโรคติดต่อต้องแจ้งความ (26 พ.ค. 2566 - 17:41)

ชื่อโรคติดต่ออันตราย (27 พ.ค. 2566 - 01:29)

โรคติดต่อและอาการสำคัญ (30 พ.ค. 2566 - 03:42)

ผู้เข้าชมวันนี้ คน, ผู้เข้าชมเดือนนี้ คน, ผู้เข้าชมทั้งหมด คน